การเพิ่มผลผลิตในงานอุตสาหกรรม
การเพิ่มผลผลิตด้วยคอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบ จำเป็นอย่างมากในปัจจุบันจากการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการด้วยชิ้นงานเหมือนจริงพบว่าช่วยลดเวลาในการทำงานกว่า 5-10เท่า ดังตัวอย่างการเขียนข้างล่าง
การการวางแผนจัดวางสิ่งอำนวยความสะดวก
สิ่งอำนวยความสะดวก (facilities) หมายถึง อุปกรณ์ เครื่องจักรที่จำเป็นสำหรับกระบวนการผลิตหรือกระบวนการบริการ ตัวอย่างเช่น สิ่งอำนวยความสะดวกในโรงงานอุตสาหกรรม คือ เครื่องจักรเครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ อุปกรณ์ช่วยขนถ่ายลำเลียง
การวางแผนจัดวางสิ่งอำนวยความสะดวกจะต้องพิจารณาร่วมกับการออกแบบแผนผังขององค์กรรูปแบบต่างๆไม่ว่าจะเป็นองค์กรที่เน้นการผลิตผลิตภัณฑ์ (Product) หรือ องค์กรที่เน้นการบริการ (Service) ดังนั้นเนื้อหาเรื่องนี้จึงจะกล่าวถึงขั้นตอนของการออกแบบแผนผังซึ่งจะต้องสอดคล้องกับการจัดวางสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆโดยแบ่งระยะต่างๆดังนี้
1.การเลือกทำเลที่ตั้ง (Plant location)
2.การพิจารณาลักษณะทั่วไปของอาคาร (Plant building)
3.การออกแบบแผนผัง (Plant layout)
4.การติดตั้ง (Installation)
1.การเลือกทำเลที่ตั้ง
การตัดสินใจเกี่ยวกับการเลือกทำเลที่ตั้งนั้นมีความสำคัญมาก เป็ฯส่วนหนึ่งของการวางแผนเรื่องแรกขององค์กรซึ่งจะมีผลต่ออนาคตด้วย จุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้บริหารองค์กรสนใจที่จะทำการวิเคราะห์เลือกทำเลที่ตั้งมีมากมายหลายสาเหตุ เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ต ธนาคาร ร้านอาหาร มักจะทำการขยายทำเลที่ตั้งเพื่อขยายตลาดให้มีจำนวนลูกค้ามากขึ้น อีกสาเหตุหนึ่งก็คือลูกค้ามีความต้องการสินค้าและบริการขององค์กรมากขึ้น ทำให้องค์กรจะต้องขยายความสามารถในการผลิตสินค้าหรือบริการ เพื่อสามารถดำดเนินกิจกรขององค์การในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า อีกรูปแบบหนึ่งของการเลือกทำเลที่ตั้งใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นก็คือ กรณีที่องค์กรดำเนินการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นวัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตในทำเลเดิมทั้งหมดแล้ว ก็จะต้องเลือกทำเลที่ตั้งใหม่ที่มีทรัพยากรธรรมชาตินั้นในปริมาณเพียงพอสำหรับการผลิต เช่น อุตสาหกรรมปิโตรเลียมอุตสาหกรรมถ่านหิน
1.1 ความสำคัญของการเลือกทำเลที่ตั้ง
มีเหตุผลหลักๆ 2 ประการด้วยกันคือ
1.การเลือกทำเลที่ตั้งมีผลกระทบต่อกรดำเนินการขององค์กรในระยะยาว จะเห็นได้จากองค์กรจะไม่ทำการเลือกทำเลที่ตั้งบ่อย และเมื่อองค์กรได้ดำเนินการในทำเลที่ตั้งใหม่แล้ว เป็นการยากที่จะทำการเปลี่ยนทำเลที่ตั้งอีก
2.เลือกทำเลที่ตั้งจะส่งผลกระทบถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินการผลิต รายรับซึ่งองค์กรจะได้รับ และรูปแบบของการผลิต การเลือกทำเลที่ตั้งไม่เหมาะสมอาจจะส่งผลทำให้เกิดค่าใช้จ่ายในการขนส่งสูง (Transportation cost) การขาดแคลนแรงงาน เสียเปรียบคู่แข่งในด้านการตลาด วัตถุดิบไม่เพียงพอ หรือ สภาพการผลิตส่งผลทำให้เกิดการเสียหายได้
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นองค์กรที่เน้นการผลิตหรือองค์กรที่เน้นการบริการ การเลือกทำเลที่ตั้งย่อมส่งผลทำให้เกิดการเสียเปรียบหรืได้เปรียบองค์กรที่เป็นคู่แข่งได้
1.2 รูปแบบของการเพิ่มความสามารถในการผลิต
ผู้บริหารขององค์กรมักจะพิจารณา 3 รูปแบบในการวางแผนขยายความสามารถในการผลิหรือบริการคือ
1.การขยายพื้นที่ขององค์กรปัจจุบัน
2.การขยายสาขาหรือเพิ่มโรงงานผลิต
3.การเปลี่ยนทำเลที่ตั้งใหม่
หลังจากที่องค์กรได้ทำการวิเคราะห์แล้ว พบว่าทั้ง 3 ทางเลือกนั้นยังไม่มีข้อดีที่เด่นชัดเจนองค์กรอาจะไม่
ดำเนินการใดๆเกี่ยวกับทำเลที่ตั้ง นอกจากจะปรับปรุงทำเลที่ตั้งในปัจจุบันให้มีสภาพดีขึ้น
1.3 ขั้นตอนการเลือกทำเลที่ตั้ง
ขั้นตอนของการเลือกทำเลที่ตั้งมักจะประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลักดังนี้
1.กำหนดเกณฑ์สำหรับการประเมินแต่ละทำเลที่ตั้ง
2.กำหนดปัจจัยที่สำคัญต่อการเลือกทำเลที่ตั้ง
3.กำหนดทางเลือกโดยอาจทำการพิจารณาในอาณาบริเวณกว้างๆก่อน แล้วจึงพิจารณาบริเวณเฉพาะเจาะจงลงไป
4.ประเมินทางเลือกต่างๆและทำการตัดสินใจ
1.4 การวิเคราะห์เลือกทำเลที่ตั้ง
การเลือกทำเลที่ตั้งไม่สามารถกระทำได้โดยง่าย เนื่องจากแต่ละทำเลที่ตั้งมีข้อดีและข้อเสียต่างกัน เช่น ทำเลที่ตั้ง
หนึ่งอยู่ใกล้กับแหล่งวัตถุดิบ แต่ไกลจากแหล่งตลาด เป็นต้น วิธีการที่จะช่วยในการวิเคราะห์ที่นิยมใช้โดยทั่วไปมี 3 วิธีด้วยกันคือ
1.วิธีการให้น้ำหนักความสำคัญ (Weighted method or factor rating) เป็นการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ (Qualitative Analysis) วิธีการหนึ่ง โดยจะทำการให้น้ำหนักของแต่ละปัจจัยที่สนใจตามลำดับความสำคัญถ้าปัจจัยใดมีความสำคัญต่อการตัดสินใจมากก็จะให้น้ำหนังคะแนนมาก ถ้าปัจจัยใดมีความสำคัญต่อการตัดสินใจมากก็จะให้น้ำหนักคะแนนมาก ถ้าปัจจัยใดมีความสำคัญน้อยก็จะให้คะแนนลดหลั่นตามลำดับ ในการตัดสินใจเลือกจะทำเลที่ได้น้ำหนักคะแนนสูงสุด
ขั้นตอนการวิเคราะห์สามารถสรุปได้ดังต่อไปนี้
1) กำหมดปัจจัยที่จะทำการพิจารณา
2) ทำการให้น้ำหนักคะแนนแต่ละปัจจัย โดยในการให้น้ำหนักคะแนนจะดูจากความสำคัญต่อการเลือก
ทำเลที่ตั้งเป็นหลัก
3) กำหมดสเกลสำหรับการให้น้ำหนักคะแนนแต่ละทำเลที่ตั้ง เช่น จาก 0 ถึง 100
4) ให้คะแนนแต่ละทำเลที่ตั้งจากทุก ๆ ปัจจัย
5) ทำการคะแนนของแต่ละทำเลที่ตั้ง โดยรวมผลของน้ำหนักของแต่ละปัจจัยด้วย
6) เลือกทาเลือกที่ให้คะแนนสูงสุด
2. วิธีการให้ระดับคะแนน (Point Rating หรือ Rating Plan) เป็นวิธีการเชิงคุณภาพอีกวิธีการ โดยใช้หลักของการให้คะแนนแก่ทำเลที่ตั้งตามปัจจัยแต่ละด้าน ถ้าพอใจมากให้คะแนนมากโดยการตัดสินใจเลือกทำเลที่ตั้งที่มีคะแนนสูงสุด
3. วิธีการวิเคราะห์จุดคุ้มทุน (Break-even Analysis) เป็นวิธีการวิเคราะห์เชิงปริมาณโดยสนใจค่าใช้จ่ายที่เป็นหลัก โดยใช้หลักการทางเศรษฐศาสตร์มาทำการพิจารณาเลือกทำเลที่ตั้งการวิเคราะห์สามารถใช้การวิเคราะห์สามารถใช้การวิเคราะห์จากการหรือจากรูปกราฟ
ขั้นตอนโดยสรุปมีดังนี้
(1) กำหนดค่าใช้จ่ายคงที่ (Fixed Cost) และค่าใช้จ่ายแปรผัน (Variable Cost) ของแต่ละทำเล
(2) หาความสัมพันธ์ของค่าใช้จ่ายรวม (Total Cost) กับค่าใช้จ่ายคงที่และค่าใช้จ่ายแปรผันและทำการวาดกราฟของค่าใช้จ่ายรวมของทุกๆทำเลที่ตั้งลงบนกราฟชุดเดียวกัน
(3)ทำการหาดูว่าทำเลที่ตั้งใดมีค่าใช้จ่ายต่ำสุดในปริมาณการผลิตที่คาดหมายไว้
วิธีการนี้จะอยู่ภายใต้สมมติฐาน ดังนี้
(1) ค่าใช้จ่ายคงที่มีค่าคงที่ตลอดช่วงของปริมาณการผลิต
(2) ค่าใช้จ่ายแปรผันมีค่าคงที่ตลอดช่วงของปริการผลิต
(3) ระดับปริมาณการผลิตสามารถประมาณได้
(4) มีผลิตภัณฑ์ 1 ชนิด
เมื่อกำหนดให้ TC = ค่าใช้จ่ายรวม
FC = ค่าใช้จ่ายคงที่
VC = ค่าใช้จ่ายแปรผัน/หน่วย
Q = ปริมาณการผลิตต่อหน่วยเวลา
จะได้ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณการผลิตและค่าคงที่ใช้จ่ายเป็นดังนี้
ค่าใช่จ่ายรวม = ค่าใช้จ่ายคงที่ + (ค่าใช้จ่ายแปรผัน x ปริมาณการผลิต)
TC = FC + (VC x Q)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
ท่านคิดว่าควรต้องปรับปรุงอะไรบ้างในบล๊อคนี้